7/7/54

2.มีอิทธิพลต่อความเชื่อของสุภาพสตรี(แม่บ้าน)

ผญาภาษิตกับสตรี
           การสอนสตรีมักจะพูดถึงกริยามารยาท  การวางตัวของสตรี  การเป็นภรรยาที่ดีควรทำอย่างไร  รู้จักระเบียบของลูกสะใภ้  ควรเชื่อฟังและกตัญญูต่อพ่อแม่ตน  การเลือกคู่ครองถึงจะให้สิทธิในในการเลือกก็ตามแต่ก็ควรเลือกเอาชายที่มีการศึกษา  ไม่ควรเลือกผู้ชายที่มีจิตใจนักเลงสุราคนเจ้าชู้ชายอย่างนี้ไม่ควรเลือกเอามาเป็นคู่ครอง  เมื่อแต่งงานแล้วควรเชื่อฟังสามีไม่ควรแสดงความโกรธต่อสามี  พูดหยาบคายต่อสามี  ควรรักสามี  รักญาติฝ่ายสามี ตลอดถึงพ่อแม่ของสามีด้วย  ควรประพฤติตนตามฮีตคลองของหญิงจึงจะเป็นมงคลแก่ตนเอง  ดังนั้นจริยธรรมของสตรีที่พบในสุภาษิตอีสานพบว่ามีจริยธรรมตามสถานะภาพทางสังคม  คือสตรีในสุภาษิตอีสานมีลักษณะที่เป็นไปตามหน้าที่ของตนเองคือ  สถานะที่มีบทบาทเป็นย่าและมารดา  เป็นภรรยา   เป็นลูกสะใภ้  เป็นบุตร ดังนั้นจริยธรรมของสุภาษิตอีสานจึงมุ่งสั่งสอนให้กลุ่มสตรีเหล่านี้ควรปฏิบัติต่อหน้าของตนเองอย่างไร  และควรเว้นอย่างไร  จึงจะเหมาะสมและตั้งตัวเองให้อยู่จารีตประเพณี 
๒.๒.๓.๑.  สตรีในฐานะภรรยา
       จริยธรรมของภรรยามีมากมาย  โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องความชื่อสัตย์ต่อสามี  ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี  อบรมสั่งสอนบุตรธิดาให้ดี  สงเคราะห์เกื้อกูลญาติฝ่ายสามีดี  ดูแลเอาใจใส่ต่อพ่อแม่ของสามีตนเหมือนเป็นดั่งพ่อแม่ของตนเอง  นับว่าเป็นจริยธรรมสำหรับบริหารครอบครัวให้พบความผาสุข  ดังนั้น  ภรรยาจึงต้องให้ความเคารพยกย่องสามี  ในฐานะเป็นภรรยาพึ่งกระทำ  คือภรรยาต้องกราบเท้าสามี  ก่อนนอนและให้สามีเป็นฝ่ายนอนก่อน  ดังสุภาษิตที่ว่า
    ยามนอนนั้นให้ผัวแพงนอนก่อน    ขันดอกไม้สมมาตีนเจ้าจั่งเล่านอน
    (เมื่อถึงเวลานอนให้สามีที่รักนอนก่อน  เอาดอกไม้ใส่มาขอขมาสามีที่เท้าแล้วจึงเข้านอน)
    มีผัวให้ช่างย่อง        มีน้องให้ช่างออย
    (มีสามีให้รู้จักยกย่อง    มีน้องให้รู้จักเอาอกเอาใจ)
       จริยธรรมของสตรีในฐานะเป็นภรรยาที่ดีต่อสามี  ดังนั้นสุภาษิตอีสานได้สะท้อนถึงจริยธรรมในส่วนนี้ไว้มากมายในการปฏิบัติตัวของภรรยาที่เหมาะสมงามอย่างกุลสตรีแท้  ได้กล่าวถึงสตรีที่เป็นภรรยาต้องประพฤติตัวอย่างนี้จะทำให้ครอบครัวประสบแต่ความสุข  ความเจริญ  ดังสุภาษิตที่มาในธรรมดาสอนโลกว่า
    อันหนึ่งเป็นเมียให้ยำผัวทั้งฮักยิ่ง จริงดาย
    บัวระบัติผัวชอบแท้คือพระยาเศรษฐี นั่นแล้ว
    อันหนึ่งนอนให้นอนลุนให้ลุกก่อน
    ให้หุงหาน้ำทั้งผ้าเช็ดมือนั่นแล้ว
    อันหนึ่งเมื่อถึงวันศีลให้สมมาผัวทุกเมื่อดีดาย
    แล้วให้ปัดกวาดแผ้วเฮือนเหย้าให้ฮุ่งเฮือง
    เมื่อผัวกินข้าวอย่าให้ของกินเงื่อนตัวดาย
    อย่าได้กล่าวคำฮ้ายตอบเถียงกันเน้อ
    อย่าให้ผัวบัวระบัตยังตัวกลัวจักบาปแล้ว
    เอาแต่เพื่อนคิดเห็นฮู้ช่างอ่อนนั้นเทิน
    อันหนึ่งเทียวเฮือนให้ลีลาค่อยย่างนางเอย
    อย่าได้ปากลื่นพ้นเฮือนเหย้านั่นดาย
    ยามจักนอนอย่าได้ลืมทุกเช้าค่ำคำเฮย
    ให้เอาผมเช็ดพื้นตีนแล้วจึงค่อยนอน นั่นเน้อฯ
       นอกจากภรรยาจะต้องเคารพยกย่องสามีแล้ว  ภรรยาก็จะต้องให้ความรักและความชื่อสัตย์ต่อสามีแต่เพียงผู้เดียวด้วย  ซึ่งสุภาษิตได้สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมอีสานว่านิยมมีครอบครัวแบบ  “ผัวเดียว  เมียเดียว”  และไม่นิยมการหย่าร้างเมื่อแต่งงานแล้วผู้หญิงควรจะร่วมทุกข์รวมสุขกับชายที่เป็นสามีไปจนกว่าจะตายจากกัน  ดังสุภาษิตกล่าวไว้ว่า
    ผัวเมียนี้คนเดียวโดยฮีต    สุขทุกข์ยังฮ่วมย้าวถนอมตุ้มต่อมกัน
    (ผัวเดียวเมียวตามจารีตประเพณี  สุขทุกข์ให้อยู่ร่วมกันคุ้มครองดูแลและลำบากด้วยกัน)  การดูแลบ้านเรือน  ก็นับว่าเป็นจริยธรรมที่สำคัญของภรรยาต้องกระทำให้สมกับคำว่า  “แม่ศรีเรือน”  สุภาษิตได้สะท้อนให้เห็นว่า  สตรีใดที่มีคุณสมบัติของความเป็นแม่ศรีเรือนเป็นสตรีที่ประเสริฐล้ำเลิศทีเดียว  โดยเฉพาะสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยเรือนสามน้ำสี่ ดังสุภาษิตว่า
    หญิงใดสมบูรณ์ด้วยเฮือนสามน้ำสี    เป็นหญิงดีเลิศล้ำควรแท้แม่เฮือน
    เป็นญิงนี้เฮือน  ๓ น้ำ ๔    ศรีแจ่มเจ้ากระทำถ่อนยอดเสน่ห์ 14/ยอดญาก้อม
    (หญิงใดที่มีเรือนสามน้ำสี่  เป็นหญิงประเสริฐ  สมควรกับการเป็นแม่บ้านแม่เรือน)
      เรือนสามในสุภาษิตนี้หมายถึง เรือนผม  เรือนนอน  และเรือนครัว  ซึ่งเป็นหน้าที่ของภรรยาจะต้องกระทำให้เรียบร้อย   เรือนผมนั้นรวมไปถึงการแต่งตัวด้วย  เพราะสตรีจะต้องงามตั้งแต่หัวจรดเท้า  กล่าวคือ  ต้องรักษาร่างกายให้สะอาดหมดจดอย่าปล่อยให้ผมยุ่งเหยิง  เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ต้องสะอาดเรียบร้อย  รวมทั้งการแต่งตัวสมฐานะและเหมาะสมกับกาลเทศะ
       เรือนนอน  ต้องรู้จักดูแลรักษาความสะอาด  ปัดกวาดเช็ดถูก  ไม่ปล่อยให้สกปรกรกรุงรัง  รวมทั้งการจัดเครื่องนอนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
       เรือนครัว   สตรีจำเป็นต้องรู้จักงานครัวทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร  การรักษาความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ในครัวให้สะอาดน่าใช้อยู่เสมอ  และจัดเก็บให้เรียบร้อย  เป็นที่เป็นทาง  รวมทั้งการจัดการต่างๆ  เช่น  การใช้จ่าย  การจัดหา  การแบ่งปัน  กล่าวคือ  สตรีต้องรู้จักประมาณการใช้จ่ายเงินในการครัวให้เหมาะสมและพอดีกับสมาชิกในครอบครัว  สิ่งใดไม่มีก็จัดหามาไว้และควรแบ่งปันเพื่อนบ้านตามสมควร
น้ำสี่  หมายถึง  น้ำกิน  น้ำใช้  น้ำเตาปูน  และน้ำใจ
น้ำกิน  ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ  และอย่าให้น้ำกินขาดโอ่ง
น้ำใช้  หมายถึง  น้ำที่ใช้ล้างถ้วยชาม  ล้างมือ  ล้างเท้า  ตลอดจนใช้อาบ
น้ำเต้าปูน   คนอีสานก็เหมือนคนในภาคอื่นๆที่ชอบกินหมาก  ฉะนั้นปูนที่ใช้กินหมากจึงขาดไม่ได้  ต้องมีติดเต้าปูนอยู่เสมอ  และต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงไว้เสมอไม่ให้น้ำแห้งได้  ซึ่งสตรีใดปล่อยให้น้ำปูนแห้ง  ถือว่าขาดคุณสมบัติความเป็นแม้บ้านไปข้อหนึ่ง  เพราะปูนที่ใช้กินหมากนั้นก็มีไว้สำหรับต้อนรับแขกที่มาเยื้อนด้วย
น้ำใจ  หมายถึง  การพูดจาต้องอ่อนโยน  สุภาพ  ไพเราะ  และการมีจิตใจเมตตา  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารีแก่ญาติของตนและผู้อื่น  ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สามีหลงรักภรรยาที่มีฝีมือในงานเชิงช่างไม่ว่า  จะเป็นฝีมือในการปรุงอาหาร  งานฝีมือ  และงานที่เกี่ยวกับผู้หญิง  ดังสุภาษิตสอนว่า
    แกงเพิ่นแซบปลาแดกเพิ่นนัว
        เมียเพิ่นช่างผัวเพิ่นจิ่งฮัก
    (แกงเขาอร่อยเพราะปลาร้าเขามีรสกลมกล่อม  ภรรยาเขามีฝีมือช่างสามีจึงรัก)
       นับว่าเป็นโชคดีหากชายใดได้สตรีที่มีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นมาเป็นภรรยา  เพราะถือเป็นสิริมงคลและทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขและราบรื่น  ดังสุภาษิตสอนว่า
        ได้เมียดีปานได้แก้วคูณล่าง
    ได้เมียผู้ช่างปานได้แก้วคูณเฮือน
    (ได้ภรรยาดีเหมือนได้แก้วมีค่า  ได้ภรรยาเก่งงานช่างเหมือนได้แก้วคูณบ้าน)
        ชายใดมีเมียแก้วการเฮือนเฮียงฮาบ
        ขุนใดอำนาจกล้าเมืองบ้านเฮืองฮุ่ง
    (ชายใดมีเมียที่เก่งงานบ้านรวมเรียงเคียงข้าง  ครอบครัวราบรื่น  เจ้าเมืองใดมีอำนาจกล้าแข็ง  บ้านเมืองนั้นเจริญรุ่งเรื่อง)  ดังนั้น  สตรีจึงควรปฏิบัติตนให้เหมาะสม  เพื่อเป็นการเชิดหน้าชูตาแก่สามี  การที่สามีจะเป็นคนดีได้  เพราะมีภรรยาช่วยส่งเสริมสนับสนุน  ดังสุภาษิตสอนว่า
        แหวนดีย้อนหัว        ผัวดีย้อนเมีย
        (แหวนดีเพราะมีหัวแหวนงาม  สามีดีเพราะมีภรรยาดี)    นอกจากความดีทางกายแล้วทางวาจาก็ต้องดีด้วยจึงจะมีคุณสมบัติของภรรยาที่เป็นแม่ศรีเรือน  ในเรื่องการเจรจานั้นภรรยาพึงพูดกับผู้เป็นสามีด้วยคำไพเราะต่อกัน  ซึ่งจะช่วยเป็นยาใจสมานให้ครอบครัวมีความกลมเกลียวรักใคร่กันมายิ่งขึ้น  ดังสุภาษิตสอนว่า
        ผัวเมียนี้กูมึงบ่ให้ว่า    ให้เอิ่นข้อยและเจ้าจนเท่าชั่วชีวัง46/ศูนย์
        (สามีภรรยาไม่ให้พูดกูมึง  ให้พูดฉันและเธอจนชั่วชีวิต)   จริยธรรมอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญในระบบครอบครัว  คือความละเอียดรอบคอบของภรรยาในเรื่องการงานและการเงินของครอบครัว  ภรรยาจะต้องมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินทองที่สามีหามาได้ด้วยความประหยัดให้เหมาะสมกับฐานะของตน  ดังสุภาษิตสอนว่า
        คันแม่นเป็นเมียแล้วให้เป็นคนถ้วนถี่
        เมียกะเมียแท้ๆเสียได้ให้ฮีนตรอง
        อย่าได้เป็นเมียลิ่นเมียกินคือลิงค่าง
        ให้เป็นเมียอยู่ข้างทางบ้านสู่ยาม70/ศูนย์
    (ถ้าเป็นภรรยาแล้วให้เป็นคนละเอียดถี่ถ้วน  ภรรยาก็เป็นภรรยาจริงๆเสียได้ให้ไตร่ตรอง)  สุภาษิตได้ชี้ให้เห็นว่าภรรยาที่ดีควรมีจริยธรรมให้การงานต่างๆและช่วยแบ่งเบาภาระกิจของสามีบ้างและให้รู้จักรับผิดชอบในงานบ้านทุกอย่างให้ดีเพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้เป็นภรรยา  ถึงจะมีความรักใคร่กันอย่างใดก็ตามสุภาษิตอีสานก็ยังสอนให้สามีไม่ควรไว้วางใจภรรยของตนเองอย่างนำความลับทางราชการบ้านเมืองมาเล่าให้ภรรยาฟัง  เพราะสตรีอาจจะไม่เก็บความลับนั้นไว้ดี  อาจจะหลงพูดให้คนอื่นรู้เพราะสตรีมีปกติชอบพูด  ดังนั้นสุภาษิตจึงเตือนสติผู้เป็นสามีว่าไม่ควรวางใจภรรยาเกินไปเดียวเธอจะนำความเดือนร้อนมาให้  ดังสุภาษิตสอนว่า
        เมียเฮียงข้างฮักฮ่วมเสน่หา
        อย่าวางใจกล่าวความบังเบื้อง46/ศูนย์
    (เมียเคียงข้างรักร่วมเสน่หา  อย่าไว้วางใจเปิดเผยความลับ)
      นอกจากนั้นผู้เป็นภรรยายังต้องเผื่อแผ่ความรักไปถึงพ่อแม่และญาติของสามีด้วย  ภรรยาจะต้องให้ความเคารพพ่อแม่และญาติของสามีดุจพ่อแม่และญาติของตน  ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งในครอบครัวขึ้นได้  ดังสุภาษิตสอนว่า
        เอาลูกใภ้มาเลี้ยงแม่ย่า    ปานเอาห่ามาใส่เฮือน
        เอาลูกเขยมาเลี้ยงแม่เฒ่า    ปานเอาข้าวมาใส่เล้าใส่เยีย
    (เอาภรรยามาเลี้ยงแม่ย่าเหมือนเอาความจัญไรมาใส่เรือน  เอาสามีมาเลี้ยงแม่เหมือนเอาข้าวใส่ยุ้งฉาง)    ระบบครอบครัวในภาคอีสานเป็นครอบครัวแบบขยายคือ  เมื่อชายหญิงแต่งงานกันแล้ว  มักจะไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของฝ่ายหญิงระยะหนึ่งก่อน  ต่อมาจึงจะแยกครอบครัวไปอยู่ตามลำพังแต่ก็มักจะสร้างบ้านอยู่ใกล้ๆกันกับบ้านพ่อตาแม่ยายนั่นเอง  ซึ่งการที่ลูกเขยไปอาศัยอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย  จะเป็นการดีกว่าพาลูกสะใภ้ไปอยู่บ้านพ่อของสามี  เพราะการที่ลูกเขยไปอยู่บ้านพ่อตาแม่ยายเท่ากับเป็นการเพิ่มแรงงานให้ครอบครัว  โดยเฉพาะในเรื่องการทำไรไถนา   แต่ถ้านำลูกสะใภ้ไปอยู่กับพ่อแม่ของสามี  มักจะเกิดความขัดแย้งระหว่างลูกสะใภ้กับแม่สามีเท่ากับเป็นการนำเอาปัญหามาสู่ครอบครัว  ดังนั้นจึงมีสุภาษิตที่สอนภรรยาให้เคารพและยกย่องพ่อแม่ของสามีไว้ว่า
    ให้นางคารวะแก้วผัวแพงทุกเซ้าค่ำ    อย่าได้คึดหล่วงล้ำใจซื่อสุจริต
    ยามผัวไปไสมาฮับของมาต้อน    เถิงเวลาแลงเซ้าซ่อยพันพลูจีบหมากฯ   
    หาหมีญาติพี่น้องสองฝ่ายให้ถนอม    มีของกินคาวหวานให้ส่งแลงงายเซ้า
    กกก่อเหง่าวงศ์สกุลโคตรย่า    ให้บูชาอ่อนน้อมถนอมไว้อย่าแหน่งฯ
    สุภาษิตนี้ชี้ให้เห็นว่าความรักฉันสามีภรรยากันนั้น  ในทัศนะของชาวอีสานที่ปรากฏในคำสอนลักษณะนี้ต้องการให้ภรรยาเคารพต่อพ่อแม่ตลอดถึงญาติของฝ่ายสามี  ซึ่งจะนำมาซึ่งความดีทั้งสองฝ่ายให้มีความรักต่อกันอย่างมั่นคงอีก  แต่กระนั้นก็ยังมีคำสอนที่กล่าวถึงสิ่งที่ภรรยาจะหนี้จากสามี  คือสามีไม่รวยทรัพย์สินเงินก็เป็นอีกส่วนให้สตรีหน่ายหนีก็ได้  หรือ  สามีแก่เฒ่าชราตลอดถึงป่วยไข้เป็นลักษณะที่จะทำให้ภรรยาตีตัวออกห่าง  ดังสุภาษิตกล่าวไว้ว่า
    เมียจักคึดคีกฮ้างแหนงหน่ายหนีผัว    เพราะว่าผัวเข็ญใจทรัพย์สินแสนสร้าง
    เห็นว่าผัวโตเฒ่าชรากาลกายแก่    เมียเลยซังส่งซ้ำบ่เหลียวหน้าล่ำแล
    เห็นว่าผัวเป็นพยาธิ์ฮ้ายเจ็บป่วยบ่จักเซา    เมียเลยซังส่งเสียบ่จาจงเอื้อ
    เห็นว่าผัวกินเหล้ามัวเมาสุรายาฝิ่น    หาแนวกินบ่ได้เมียซ้ำเหล่าซั่ง
    เห็นว่าผัวโตเฒ่าบ่ฮู้แห่งหนใด    เมียเลยไลลาหนีถ่มน้ำลายน้ำก้น
    เห็นว่าผัวเขินข้างบ่เนานอนสมสู่    เมียเหล่าอยู่บ่ได้เห็นหน้าหน่ายซัง

ฺบ้านดอนเรดิโอออนไลน์

ส่งข่าวถึงกันและกัน

Recent Posts

www.bandonradio.blogspot.com = คลื่นแห่งสาระบันเทิง ..

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons