9/7/54

26,เพลงลูกทุ่งกับกลุ่มสังฆสถาน

ประเภทสังฆสถาน
    สังฆสถาน  คือ  สิ่งที่ก่อสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นสถานที่สำหรับอยู่ของพระภิกษุและเกี่ยวกับกิจการของพระสงฆ์โดยตรง   จึงเป็นอาคารสถานที่แยกต่างหากออกไปจากสิ่งก่อสร้างประเภทพุทธสถาน  สิ่งก่อสร้างประเภทนี้ เช่น  กุฎิ  หอฉัน  หอกลอง  เป็นต้น(วันดี)
    แต่เมื่อเรียกโดยภาพรวมแล้วเป็นที่ทราบกันดีว่า  “วัด”  วัดเป็นสถานที่อำนวยประโยชน์ทั้งทางรูปธรรมและนามธรรมแก่สังคมอย่างมากเพราะเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมประเพณีและศูนย์กลางอื่น ๆ
    วัดเป็นสถานบันที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนา  เพราะการดำเนินชีวิตของคนไทยนั้นผูกพันอยู่วัดมาตลอดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย  แม้ในทางวัฒนธรรมประเพณีวัดก็มีส่วนสำคัญ   ด้วยเหตุที่วัดเป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญของโลกและถือว่าเป็นผู้สืบทอดศาสนาและเป็นศูนย์รวมจิตของชาวพุทธ  ในขณะเดียวกับพระสงฆ์ก็เป็นที่รวมศรัทธาของชุมชนด้วย
    ดังนั้น   วัดจึงกลายเป็นศาสนสถานที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนกิจกรรมต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้น  เช่น  พุทธศาสนิกชนต้องไปปฏิบัติกิจที่วัด  หรือวัดก็เอื้อโอกาสแก่สังคมในการประกอบกิจที่เป็นประโยชน์ซึ่งนับว่าวัดเป็นสถานบันที่เป็นประโยชน์แก่สังคมเป็นอย่างมาก  แม้ในปัจจุบันนี้สังคมเปลี่ยนไป  จึงทำให้บทบาทของทางวัดเปลี่ยนไปด้วย  อย่างไรก็ตามวัดก็ยังเป็นที่รวมศรัทธาของท่านพุทธศาสนิกชนในชนบทอยู่เพราะเป็นที่พึ่งทางใจของชาวพุทธ
    บทเพลงลูกทุ่งมีกล่าวถึงวัดมากมาย  จากการวิจัยพบว่า  วัดเป็นสถาบันที่เกี่ยวข้องกับเพลงลูกทุ่งทั้งเนื้อหาสาระ  ทั้งตัวผู้ร้อง   เพราะในการแสดงของวงดนตรีลูกทุ่ง  ส่วนมากก็อาศัยสถานที่วัดทำการแสดง  ไม่ว่าจะเป็นงานประจำปี  งานปิดทอง,  งานฝังลูกลิมิต,  งานบุญกุศลทั่วไป  เป็นต้น ฉะนั้นเนื้อหาสาระจึงเกี่ยวพันอยู่กับศาสนสถาน  รวมถึงการแสดงออกของครูเพลงลูกทุ่งก็แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาอย่างชัดเจน
    ในสมัยพุทธกาลระยะเริ่มแรกนั้น  พระสงฆ์ยังไม่มีที่อยู่อาศัยประจำ  ได้จาริกไปเพื่อเผยแผ่หลักธรรมทางศาสนาให้กว้างขวางออกไปเพื่อเป็นการยังประโยชน์สุขแก่ชนหมู่มากตามที่พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้  ดังปรากฎในพระไตรปิฎกว่า
    “ภิกษุทั้งหลาย  เธอทั้งหลายจงจาริกไป  เพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มาก  เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก  เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย”(วินย.)
    จะเห็นได้ว่า  พระพุทธศาสนาเน้นหนักในการที่จะให้พระภิกษุออกประกาศสัจธรรมเพื่อประโยชน์สุขของชาวโลก   แต่การสัญจรหรือจาริกของพระภิกษุนั้นจำเป็นจะต้องมีที่อยู่อาศัยเพื่อจะได้จำพรรษา  เพื่อเป้าหมายคือการอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม  เพื่อบรรลุคุณธรรมชั้นสูง  ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้รับประโยชน์ตามความเหมาะสม  คือนำหลักธรรมที่ตนได้เรียนรู้และปฏิบัติมาเผยแผ่  เพื่อให้หมู่ชนได้นำปรับใช้ตามความต้องการ  ดังนั้นการอยู่อาศัยในวัดของพระสงฆ์จึงเป็นเพียงความหมายรอง  ความหมายหลักของวัดจึงหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์พักอาศัย  เพื่อจะทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์และเหมาะสม(พระราชวรมุนี) 
    ไอ้หนุ่มบ้านนา  เช้ามาก็ไถนา  อยู่ท้องนาจะขาย
    ข้าวปลา  วิวาห์กับสาวไพร  ไม่ได้ข้าวปลา  ขายนาจะเป็นไร
    มั่นในทรวงใน  เจ้าทรามวัย  ขวัญใจบ้านนา”
        (ไอ้หนุ่มบ้านนา :  ไพโรจน์  แก้วมงคล)
    ในคราวที่มีงานประเพณี  ชาวพุทะจะมารวมตัวกันที่วัด  และรำลึกถึงกันอยู่เสมอ  ดังบทเพลงว่า
    “งานวัดปีกลาย มีแฟนเคียงกายเดินเที่ยว  นิ้วก้อย
    เรียว ๆ  มีเธอคล้องเกี่ยวก้อยเดิน  แต่ปีนี้มันดูเขิน ๆ  ไม่มีคู่
    เดิน  เชิญชมเที่ยวงาน....
    เคยเคล้าคลอกัน  ชิงช้าสวรรค์ก็มี  โถค่ำคืนนี้ไม่มี
    เธอนั่งเคียงกาย  ปิดทองพระดูใจหาย ๆ  ไม่มีเพื่อนชาย
    เหมือนปีกลาย  มาร่วมปิดทอง”
        (คืนนี้เมื่อปีกลาย  :  ขับร้องโดย พุ่มพวง  ดวงจันทร์)
    “...งานวัดเรามีทุกปี  ปิดทองพระร่วมกับพี่
    แล้วปีนี้ต้อง...จาบัลย์  เสียงเพลงเครื่องไฟ  บาดหัวใจ
    เหลือรำพัน  เห็นใครเขาต่างมีสุขกัน  แต่เรานั้นต้องหมองไหม้
    เสียงรถเสียงเรือแล่นผ่านบ้านน้อง  จับตาจ้องมอง
    ว่าพี่ของน้องมาหรือไม่  แต่แล้วใจหายไม่มีพี่ดั่งตั้งใจ
    หลงเมืองหลวงไม่เคยห่วงใย  พี่รู้บ้างไหมน้องคิดถึงพี่...”
    ในบางท้องที่  มีการจัดงานประจำปี  เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบนมัสการองค์พระที่ชาวบ้านนับถือและจัดให้มีงานฉลอง  อย่างเช่นบทเพลงว่า
    “...เทศกาลวันฉลองใหญ่โต  แห่งวัดบางนมโค
    ฉลองใหญ่โตโชว์การแสดง  จะพาโฉมฉายพ่อตาแม่ยาย
    เที่ยวไปทุกแห่ง  แต่พี่ยังหวาดระแวงหนุ่มใกล้จะแย่ง
    แซงรักพี่ไป...”
    (มนต์รักเสนา : ขับร้องโดย  ยอดรัก  สลักใจ)
    ลักษณะของวัดที่ดีและเหมาะสมนั้น  ปรากฎอยู่ในพระราชดำรำของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งทรงหาสถานที่ต่าง ๆ ที่เหมาะสมที่จะให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์นั้น  โดยได้แสดงถึงลักษณะของวัดที่ดี  ดังปรากฎในพระไตรปิฎก  ดังนี้
    “พระผู้พระภาคพึงประทับอยู่  ณ  ที่ไหนหนอ ซึ่งจะ
    เป็นสถานที่ไม่ไกลไม่ใกล้จากบ้านนักสะดวกด้วยการคมนาคม
    ควรที่ประชาชนผู้ต้องประสงค์จะเข้าไปเฝ้าได้  กลางวัน
    ไม่พลุกพล่าน  กลางคืนเงียบสงัดเสียงไม่กึกก้อง  ปราศจาก
    ลมแต่ชนที่เดินเข้าออก  ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้อง
    การที่สงัด  และควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ตามสมณวิสัย”(วินย.)
    บทเพลงลูกทุ่งกล่าวถึงศาสนาสถานที่เกี่ยวกับวัดไว้ก็มี  แต่เป็นรูปแบบของการชักชวนคนให้มาทำบุญสร้างวัด  เพราะถือว่าวัดนั้นคือศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ  ทุกหมู่บ้านจะต้องมีวัดไว้สำหรับชาวพุทธได้มีโอกาสได้ทำบุญ  และเมื่อถึงคราวัดวาอารามทรุดโทรมชาวพุทธที่ช่วยกันทำนุบำรุงดังบทเพลงว่า
    “...มิ่งขวัญอันที่ตรึงจิตใจ  ว่าเป็นหลักชัย
    องปวงประชา  ทุกย่านหมู่บ้านทุกบางเมืองไทย  ต้องมีวัดไว้
    เป็นศรีสง่า  ทุกผู้รูกันว่าวัดดีนักเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา
    แต่น้องพี่เอ่ยจงเงยหน้าเบิ่ง  วัดเราเปิดเปิงโย้เย้ไปมา  จะพัง
    มิพังแหล่ข่อยแลแล้วเศร้า  เป็นเพราะพวกเราไม่ช่วยรักษา
    บัดนี้ฤกษ์ดีวัดนี้จะซ่อม  หมู่เฮาจงพร้อมช่วยซ่อม
    วัดวา  ผู้ใดรวยเงินขอเชิญบริจาค  ทำน้อยทำมากบ่ขัดศรัทธา
    หรือจะถวายไม้กระดานหน้าต่างสักบานก็เชิญท่านมา.....”
        (บริจาคเงินซ่อมวัด  :   ไวพจน์  เพชรสุวรรณ)
    ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้สนใจบวชในพระพุทธศาสนาและศึกษาพระธรรมวินัยนั้นมากขึ้น  เมื่อบวชแล้วผู้ที่มีความเลื่อมใสก็จะบวชเรียนต่อไป  ส่วนผู้ที่ไม่ประสงค์จะบวชอีกต่อไป  เมื่อลาสิกขาคือสึกออกมาที่สามารถเข้ารับราชการได้  จะเห็นได้จากในตอนปลายกรุงศรีอยุธยา  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงกวดขันการศึกษาทางพระพุทธศาสนา  บุตรหลานข้าราชการคนใดที่จะถวายตัวทำราชการ  ถ้ายังไม่ได้อุปสมบทก็ไม่ทรงแต่งตั้งให้เป็นราชการ
    ดังนั้นเหตุผลที่สำคัญข้อหนึ่งในการอุปสมบทก็คือ”บวชเพื่อเรียน”  หรือพูดกันติดปากว่า  “บวชเรียน”  นั่นเอง(วิลาสวงศ์)   ฉะนั้น  จะเห็นได้ว่าวัดนั้นก็เป็นที่ศึกษาเหมือนกัน  ตามปกติพุทธศาสนิกชนชาวไทยแต่โบราณได้ให้ความสำคัญแก่วัดและพระสงฆ์ว่า  เป็นแหล่งการศึกษาที่ดี  ดังจะเห็นได้ว่าสมัยก่อน  พระสงฆ์เป็นผู้มีความรู้แตกฉานในหลาย ๆ ด้าน  ทั้งทางโลกและทางธรรม (พระมหาสำเนียง)
    กุลบุตรไทยส่วนมากที่จะบวชมักจะเป็นชายโสด   และอยู่ในวัยหนุ่ม   ก่อนบวชก็มักจะมีคู่รักที่ชาวชนบทรักเรียกว่าเป็นแฟนกัน   หมายถึงยังไม่ได้แต่งงานกัน  พอจะเข้าบวชในพระพุทธศาสนาก็ต้องมีการร่ำลา  เพื่อที่จะเช้าบวชเรียนในพุทธศาสนา  สิ่งหนึ่งที่หนุ่มจะย้ำอยู่เสมอก็คือการบวชเรียน  เพื่อฝึกตนให้เป็นคนดี  พอสึกออกมาจะได้เป็นคนดี  เพื่อชีวิตคู่จึงต้องขอร้องให้แฟนสาวรอคอย  ดังบทเพลงว่า
    “ขอลาเจ้าไปบวชเรียน  น้องจงช่วยอุ้มเทียนแห่ไปวัดที
    น้องพี่โปรดจงเห็นใจ  ฝันใฝ่อยู่ไม่เว้นวัน  รักกันมาแรมปี
    อย่างนี้มีใจตรงกัน   นึกถึงวันร่วมทางสร้างกุศล ขอหน้ามน
    เมตตามาช่วยงาน  มองตั้งนานไม่เห็นมีน้องเอยน้องพี่ไม่มา
    ขอลาเจ้าไปบวชเรียน  หรือใจวนเวียนเจ้าถึงลืมสัญญา
    เห็นหน้าเจ้าสักนิดยังดี  น้องพี่ถ้าจะหลงลืมกัน  บวชแทน
    พระคุณมารดาไม่ช้ารอคืนรอวันเห็นใจกันฝากคำจำได้ไหม
    ขอลาไปสร้างบุญเกื้อหนุนที่เรานั้นมีสัมพันธ์กันมา  หวังใจ
    ไว้ว่าคงคอย....”
    “...หอมหนึ่งครั้งเพื่อตั้งใจบวชไปให้กับแม่ขอหอมเบา ๆ
    เอิง  เอิ้ง  เอย  แก้มศรีแพรขอจูบฝากไว้ด้วยใจแน่  พี่รักแท้
    มั่นคง  บวชเป็นสงฆ์จงรอคอย   บวชเรียนสึกแล้ว  จะมาวิวาห์
    กับน้องคนดี  ไม่ถึงปีโปรดคอยหน่อย...”
        (จูบก่อนบวช : ขับร้องโดย  คัมภีร์  แสงทอง)
    สมัยก่อนนั้น  ไม่มีโรงพยาบาล  เมื่อชาวบ้านเจ็บไข้ก็จะพามาให้พระรักษาพยาบาล  พระก็จะรักษาพยาบาลไปตามภูมิความรู้ของตนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาด้วยยาสมุนไพร   แม้บางครั้งคนที่มาหาจะมีความทุกข์ใจ   แต่พอจะปรึกษาธรรมะหรือพูดคุยกับพระในวัดแล้วก็สามารถบรรเทาลงได้   ฉะนั้น  เปรียบเหมือนวัดเป็นสถานพยาบาล ดังเพลงลูกทุ่งว่า
    “..วัดนี้หรือคือถิ่นทรัพย์  สร้างคนดิบเป็นคนดี  คนเกิดมา
    โรคามีต้องหาหมอเพื่อขอยา  เปรียบว่าวัดเป็นสถานพยาบาล
    สุขศาลาคนทุกข์ใจให้เข้ามา   เอาศาสนารักษาใจ....”
        (เชิญทำบุญสร้างวัด : ไวพจน์  เพชรสุวรรณ)
    เมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย  พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภก  ความจริงดังกล่าวนี้ย่อมปรากฎทั้งในประวัติศาสตร์พระราชพงศาวดาร  ทั้งจากหลักฐานทางโบราณคดี  โดยมิต้องสงสัย  พระราชภารกิจส่วนใหญ่ของพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล   ต่างก็ทรงมุ่งมั่นต่อความ  ดำรงสถิตมั่นแห่งพระบวรพุทธศาสนา  สมดังพระราชอธิษฐานสัจจปฏิญาณในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชว่า  “ตั้งใจจะอุปถัมภก  ยกยกพระพุทธศาสนา”  ไปพร้อม ๆ  กับพระราชกิจที่จะ “ป้องกันขอบขัณฑสีมารักษาประชาชนและมนตรี”  ซึ่งความจริงข้อนี้  แม้ชาวตะวันตกก็ยอมรับ  ให้สมญานามประเทศไทยว่า  “ดินแดนแห่งกาสาวพัสตร์(Land  of  the  Yellow  Robes)”(ประสิทธิ์)
    ความภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย  มีรสนิยมแบบไทย  ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้  เสื้อผ้าอาภรณ์รวมไปถึงหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่พ่อแม่เชื่อถือมาก็ปฏิบัติตาม  เรียกว่าเป็นคนชาตินิยม  ดังบทเพลงว่า
    “..น้องเกิดเมืองไทย  น้องก็รักเมืองไทย  ของกินของใช้
    ก็ชอบไทยไทยทั้งนั้น  เสื้อผ้าสวมใส่ก็ชอบไทย ๆ  เหมือนกัน
    ของหวานของมันฉันก็ชอบไทย ๆ
    น้องเกิดเมืองไทย  พ่อแม่ก็ไทยเช่นกัน  จะให้น้องนั้น
    นิยมชาติอื่นยังไง  จะชั่วจะดีน้องนี้จะรักเมืองไทย  ทำบุญวัด
    ไทยเมืองไทยจะได้ไม่เงียบเงา...”
        (ฉันรักเมืองไทย  :  ขับร้องโดย  พิมพา  พรศิริ)
    บทเพลงลูกทุ่งมีการกล่าวถึงคนที่ไม่รักชาติ  ศาสนาไว้เหมือนกันในทำนองตือนสติแก่คนที่รับเอาวัฒนธรรมของชาวตะวันตกมาใช้  จนลืมวัฒนธรรมเดิมของตนที่มีดีอยู่แล้ว  เช่น  วัดวาอาราม  เป็นต้น  ดังบทเพลงว่า
    “..สเน็ก ๆ  ฟิช ๆ งู ๆ ปลา ๆ  ฟังเพลงไทยแล้วส่ายหน้า
    ฉันฟังเพลงไทย  ทีเพลงฝรั่งฟังได้เป็นวรรคเป็นเวร
    นิยมว่าดีว่าเด่น  อวดเป็นลืมของไทย
    สังคมชนบทนั้น เป็นสังคมที่ไม่ค่อยมีการแบ่งชั้นวรรณะมากเท่ากับสังคมในเมือง  การสนุกสนานรื่นเริงแต่ละครั้งก็มักจะใช้สถานที่วัดเป็นศูนย์รวม  เพราะทุกคนคิดว่า  วัดนั้นคือวัดของเราทุกคน  ทำให้บ้านกับวัดมีความแนบแน่นกันมากอย่างยาวนาน  จากภาพพจน์นี้สะท้อนให้เห็นว่าวัดนอกจากจะเป็นที่ฟังธรรมแล้ว  ก็ยังใช้เป็นที่แสดงพลังสามัคคีด้วย   ดังบทเพลงว่า
    วัดเป็นที่อยู่ของพรสงฆ์ก็จริง  แต่วัดนั้นไม่ได้จำกัดว่าผู้ชายหรือผู้หญิงจะเข้าก็ได้  ในคราวคนมีทุกข์วัดเป็นสถานที่จะรองรับหรือให้คำปรึกษาได้  โดยเฉพาะพระสงฆ์จะต้องเป็นที่พึ่งทางใจแก่พุทธศาสนิกชนได้ในครั้งพุทธกาล   สตรีหลายคนที่พบปัญหาชีวิต  ต่อมาพอได้พบธรรมของพุทธองค์เกิดความเลื่อมใสแล้วบวชในพระพุทธศาสนาก็หลายรูป  จะเห็นได้ว่าการที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาติให้ผู้หญิงบวชนั้นก็เป็นการเปิดทางให้กับผู้หญิงผู้ที่ต้องการแสวงหาความพ้นทุกข์   ดังมีผู้หญิงบางพวกที่มาบวชเพราะต้องการหนีความทุกข์ยากตรากตรำในกิจการงานภายในบ้าน   ดังกรณีนางกีสาโคตมี(ขุ.เถรี)  เป็นต้น
    ทุกครั้งที่มีทุกข์  คนแรกของชาวบ้านที่คิดถึงก็คือพระสงฆ์ที่อยู่ในวัด  เพราะสังคมชนบทนั้นมคความเคารถต่อพระสงฆ์ในวัดมาก  เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนหัวใจ   ก็จะรีบไปปรึกษาพระสงฆ์ในวัดทันที   บางคนถึงกับขนาดเข้าวัดตักบาตรทำบุญทุกวัน   ที่สุดถึงกับบวชมอบกายถวายอกในพระพุทธศาสนาเลยก็มี  ดังบทเพลงว่า
    เสนาสนะต่าง ๆ  ที่ก่อสร้างภายในเขตวัด  เช่น  กุฎิ  วิหาร โบสถ์ ฯลฯ  ล้วนเป็นสิ่งที่ได้มากผู้ที่มีใจศรัทธาโดยการบริจาคหรือการเรี่ยไรเพื่อสร้างให้เป็นสมบัติพระศาสนาทั้งสิ้น   แสดงว่าวัดมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของใครโดยเฉพาะ   แม้แต่เจ้าของผู้สร้างถวายก็ไม่ควรยึดถือในกรรมสิทธิ์   เพราะการถวายให้เป็นของสงฆ์ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นของกลางเนื่องจากคำว่า  “สงฆ์นั้นหมายถึงหมู่หรือชุมชน(พระราชวรมุนี)  วัดจึงเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน  ที่จะต้องรักษาร่วมกัน  เพราะวัดนั้นเป็นสมบัติส่วนรวม   แม้แต่พระสงฆ์ก็หาใช่เป็นเจ้าของไม่
    สังคมไทยชนบทนั้นเชื่อว่า “วัดช่วยบ้าน  บ้านช่วยวัด”  จึงจะสัมพันธ์กันและทำให้คนดีได้  เพราะต่างช่วยกัน  ในวัดหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยศาลา  กุฎิ  โบสถ์  วิหาร  กำแพงแก้ว  ห้องน้ำ  และสิ่งสำคัญก็คือต้องมีพระอธิการ  หรือเจ้าอาวาสคอยปลูกศรัทธาญาติโยม  พร้อมทั้งคอยอบรมพระเณรภายในวัด  ข้อสำคัญเจ้าอาวาสจะต้องมีคุณธรรม   ๕  ประการ  คือ
ไม่ลำเอียงเพราะรัก
ไม่ลำเอียงเพราะโกรธ
ไม่ลำเอียงเพราหลง
ไม่ลำเอียงเพราะกลัว
ไม่สอยของสงฆ์ดุจของส่วนตัว(วิ.นย)
คนไทยมักจะสร้างความคิดเสมอ ๆ  ว่าบ้านจะดี  เป็นเพราะมีวัดคอยอบรมสั่งสอน  ส่วนวัดนั้นเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนาสนิกชนต้องร่วมใจกันทำนุบำรุง  เพราะถือว่าเป็นสมบัติของส่วนรวม  แม้กระทั่งศาสนสมบัติทุกอย่างภายในวัด  และพร้อมกันนี้ก็มักจะฝากความหวังไว้กับเจ้าอาวาสด้วยอันหมายถึงถ้าเจ้าอาวาสมีความสามารถปฏิบัติไม่ขัดครรลอง  ไม่เพียงแต่ลูกวัดเชื่อถือ   ญาติโยมก็คงจะศรัทธาขึ้นเรื่อย ๆ ดังบทเพลงว่า
    จากการศึกษาบทเพลงลูกทุ่งนั้น  มีการกล่าวถึงสถานอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ  จะสังเกตเห็นได้จากเนื้อหาสาระของบทเพลงเหล่านั้นแม้ว่าจะกล่าวถึงเรื่องของความรักของหนุ่มสาวก็จริงแต่ผลสุดท้ายก็นำเรื่องของศาสนวัตถุเข้ามาอ้างอิง  นั่นแสดงให้เห็นว่าแรงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาที่ลึกอยู่ในจิตใจของครูเพลงอยู่แล้ว  จึงได้กลั่นกรองออกมาเป็นร้อยกลองที่ผสมผสานสอดคล้องกับถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนาอย่างจงใจ
    อีกประการหนึ่ง  คนไทยในชนบทนั้นมักใช้เป็นวัดเป็นศูนย์กลางของการพบกัน  หรือจัดงานทั่วไป   เพราะสะดวกทั้งสถานที่เป็นประหยัดค่าใช้จ่ายไปมาก   และเป็นการความรู้ทางศาสนาและบันเทิงควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นการทำบุญที่ควบคู่ไปกับความสนุกสนานซึ่งสามารถฝึกคนให้เป็นคนใจบุญคุณค่าของความสามัคคี  จิตใจร่าเริง  ไม่คับแคบเพราะการจัดงานต่าง ๆ ที่วัดทำให้ชาวบ้านได้พบปะชุมนุมกันที่วัด  ก่อให้เกิดความสามัคคีและเกิดความรู้สึกเป็นชุมชนเดียวกัน  และการจัดงานขึ้นอยู่ที่วัดย่อไม่ทำอะไรที่เกินขอบเขตของความดีงาม  เนื่องจากถือกันว่าเป็นวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงเกิดความเกรงกลัวต่อบาปกรรม
    ฉะนั้น  คำสอนของกวีอีสานหลาย ๆ  บทเนื้อหาสาระจึงมักกล่าวศาสนวัตถุไว้อย่างชัดเจนและคงเป็นบทกวีอมตะที่กินใจผู้ฟังไปยาวนานตราบที่พระพุทธศาสนายังเจริญรุ่งเรืองในดินแดนแห่งนี้ต่อไป

bandonradio

ส่งข่าวถึงกันและกัน

Recent Posts

www.bandonradio.blogspot.com = คลื่นแห่งสาระบันเทิง ..

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons