6/7/54

::คำผญาอวยพร::บ่าวริมโขง::bandonradio

๒)  ผญาอวยพร
การอวยพรมักจะใช้ในโอกาสต่างๆ  ส่วนมากเป็นคำพูดของคนสูงอายุ  ผู้อาวุโสหรือคนรักใคร่นับถือกันและเจตนาดีต่อกัน  พูดเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ฟัง  หรือผู้รับพร  เพื่อให้กำลังใจ  และหวังให้ผู้ฟังได้รับความชื่นใจ  ความสบายใจอาจใช้ในพิธีต่างๆเช่นในการสู่ขวัญ  ผูกข้อต่อแขน  หรือในโอกาสอื่นๆแล้วแต่ความเหมาะสม  ผญาอวยพรเป็นบ่อเกิดสำคัญทางสุนทรียภาพอันเป็นอาหารทางจิตใจ  ผญาอวยพรนี้ยังสะท้อนถึงความเชื้อของคนในท้องถิ่นภาคอีสานได้เป็นอย่างดี 
ผญาอวยพรคือการกล่าวสิ่งที่ดีและเป็นมงคลต่อกันและ มนุษย์ย่อมปรารถนาอยากจะได้แต่สิ่งที่ดี  คือ คำมั่งคั่ง  ความสวยงาม  สุขภาพแข็งแรง  หรือยศถาบันดาศักดิ์ต่างๆ นัยตรงกันข้ามย่อมไม่ปรารถนา  ความจน ความขี้เหร่  ความเจ็บป่วย  หรือ คำนินทา  เสื่อมลาภ เสื่อมยศ  ผญาอวยพรนี้มักจะกล่าวเมื่อมีงานสำคัญๆ เช่น การได้เลื่อนยศ  งานแต่งงาน  หรืองานบวชเป็นต้น  ดังผญาอวยพรงานบวช ว่า
ฝ้ายเส้นนี้แม่นฝ้ายมุงคล    พระจอมบุญพุทธเจ้า
เอามาให้ผูกแขนหลาน    ให้เจ้าบวชนานๆเป็นเถระเจ้า
ให้เจ้าเป็นพระผู้เฒ่าผู้ทรงคุณ    คนมาหนุนทุกค่ำเช้า
ให้เจ้าได้สอนลูกเต้าพอแสนคน    ทศพลอันผ่านแล้ว
คือพระไตรปิกฎแก้วให้เลือนไหล    นำสัตว์ไปข้ามโลก
ให้ข้ามพ้นโอฆะสงสาร    ให้ไปถึงนิรพานทุกคน
ทุกคน  ก็ข้าเทอญ        ชะยะสิทธิ ภะวันตุเตฯ๒๐

คำผญาอวยพรนี้ชี้บอกให้ผู้จะบวชรู้จุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาคือปริยัติทั้งสามประการคือเมื่อบวชมาแล้วจะต้องศึกษาพระธรรมให้จบพระไตรปิกฎคือปริยัติธรรมให้รู้อย่างชัดแจ้ง  แล้วนำไปสู่ปฏิบัติธรรม  เพื่อมุ่งสู่ปฏิเวธ นั้นคือพระนิพพาน
นักปรัชญามักจะนิยมสอดแทรกปรัชญาในการดำเนินชีวิตในการครองครองเรือนของคู่สามีภรรยาที่ควรประพฤติปฏิบัติตนเอง  เพื่อความเจริญก้าวหน้าของครอบครัว  คือสอนให้ภรรยารู้จักหน้าของตน  ให้มีความซื่อสัตย์ต่อสามี  เคารพผู้เป็นสามี อย่าเป็นคนเกียจคร้าน  และรู้จักประหยัดทรัพย์สมบัติที่สามีหามาได้  ดังคำผญาอวยพรว่า 
ฝ้ายอันนี้แม่นฝ้ายอินทร์แปลง    เพิ่นแบ่งมาแต่ภูเขากาด
เอามาพาดแขนเจ้าทั้งสอง    สมบัตินองไหลมาบ่ขาด
อย่าประมาทชายที่เป็นผัว    ให้เกร่งกลัวคือพ่อคือแม่
อย่าข้องแหว่ชายอื่นบ่ดี    หน้าที่มีให้เจ้าตกแต่ง
ให้เจ้าแต่งภาชน์แลงภาชน์งาย    อย่าเบิ่งดายนิสัยขี้คร้าน
ให้ชาวบ้านติฉินนินทา    สมบัติมาหนีไปเหมิดจ้อย๒๑
    คำผญาอวยพรนี้  เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วก็คือ  เป็นคำพูดของคนเฒ่าคนแก่  ผู้อาวุโสหรือคนที่รักใคร่นับถือและเจตนาดีต่อกัน  พูดเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ผู้ฟัง  หรือผู้รับพร  เพื่อให้กำลังใจและหวังให้ผู้ฟังได้รับความชื่นใจ  ความสบายใจ  และประสบความสุขความเจริญ  ตลอดจนให้ปราศจากภยันตรายทั้งปวง เช่น  เจ้าอยู่ให้มีชัย  เจ้าไปให้มีโชค  สรรพทุกข์  สรรพโศก  สรรพโรค  สรรพภัย  สรรพเสนียดจังไฮ  ให้ระงับกลับหายไปสามื้อนี้วันนี้ เทอญ นี้คือจุดหมายของคำผญาอวยพร

bandonradio

::ผญาพังเพยอีสาน::บ่าวริมโขง::bandonradio

๑)  ผญาพังเพย
คำผญาพังเพยนี้มักจะกล่าวสอนขึ้นมาลอยๆเป็นคำกลางๆเพื่อให้ตีความเข้ากับเรื่อง  คำพังเพยคล้ายสุภาษิต  มีลักษณะเกือบเป็นสุภาษิต  เป็นคำที่มีลักษณะติชม  หรือแสดงความคิดเห็นอยู่ในตัว  เช่น  ทำนาบนหลังคน  คำพังเพยไม่เป็นสุภาษิตเพราะไม่เป็นคำสอนแน่นอน  และไม่ได้เน้นคำสอนในตัวเอง  เป็นลักษณะคำเปรียบเทียบ
ลักษณะของคำพังเพยอีสานนี้เรียกอีกอย่างว่า  คำโตงโตยหรือยาบสร้อย  บางท้องถิ่นนิยมเรียกว่า  ตวบต้วยหรือยาบเว้า  เป็นข้อความในเชิงอุปมาอุปไมยที่ไพเราะสละสลวยและมีความหมายลึกซึ่งคมคายเช่นเดียวกับผญาภาษิต  บางคำมีความหมายลึกซึ้งเข้าใจยากกว่าผญาภาษิตมาก มีนัยต่างกันบ้างกับผญาภาษิตตรงที่คำพังเพยหรือยาบสร้อยนี้ไม่เป็นคำสอนเหมือนผญาภาษิต  เป็นเพียงคำเปรียบเทียบที่ให้ข้อเตือนใจหรือเตือนสติให้คนเรานึกถึงทางดีหรือทางชั่ว  ผญาพังเพยจัดเป็นความเปรียบเทียบ  กล่าวคือแสดงทรรศนะบ้างอย่างเพื่อแสดงให้เห็นภาพพจน์ชัดเจน  ดังคำพังเพยว่า  “  เห็นว่าเวียงจันทร์เศร้า  สาวเอยอย่าฟ้าวว่า  มันสิโป้บาดหลา  คือแตงช้างหน่วยปลาย” ๑๖ จากข้อความนี้เปรียบเทียบให้เห็นถึงเมืองเวียงจันทร์ที่ยังไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนกรุงเทพฯ  มักจะนำเปรียบเทียบกับกรุงเทพฯ ที่เจริญกว่า  แต่ก็อย่าประมาทว่าเวียงจันทร์จะไม่เจริญ  ในคำพังเพยนี้บอกเป็นนัยว่า  เมืองเวียงจันทร์จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นในอนาคต  และนัยตรงกันข้ามก็มีคำพังเพยที่กล่าวถึงความเสื่อมของกรุงเทพฯเอาไว้ว่า “ เวียงจันทร์ฮ้าง  สิเป็นโพนขี้หมาจอก  บาดห่าบางกอกฮ้าง  สิเป็นหม่องกระต่ายนอน”๑๗
    นักปรัชญาอีสานมักจะสรรหาคำที่เปรียบเทียบถึงลักษณะของคนไว้อย่างน่าสนใจว่า การดูคนนั้นจะต้องพิจารณาให้เห็นถึงต้นตระกูลของบุคคลนั้นว่ามีนิสัยอย่างไร  ก็มักจะแสดงออกมาตามต้นกำเนิดคือพ่อแม่  ดังมีคำพังเพยว่า  “เซื้อหมากต้อง  บ่ห่อนหล่นไกกก  แนวผมดก  บ่ห่อนหัวเป็นล้าน๑๘ (  ลูกกระท้อนไม่หล่นไกลต้น  คนที่มีเชื่อแถวเป็นคนผมดกหัวคงไม่ล้าน)  มีนัยถึงคนที่ดีหรือชั่วนั้นอาจดูได้จากพ่อแม่ของคนนั้น  ถ้าพ่อแม่ดีลูกก็จะถูกฝึกอบรมให้เป็นคนดีได้ด้วย 
    คำว่าโลกธรรม  คือมีมาประจำกับโลกมนุษย์  สิ่งนั้นคือ  สรรเสริญ  นินทา  ปราชญ์อีสานได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ดังคำพังเพยว่า  “  ซื่อว่าการยกย่อง  นินทาประจำโลก  มีแต่ปู๋แต่ปู้  หนีได้ฮ่อมได๋” ๑๙ (อันการยกย่องสรรเสริญและการนินทานั้นเป็นของประจำโลก มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  ไม่มีใครจะหลีหนีพ้นได้)  จากคำพังเพยบทนี้ชี้ให้เห็นว่า  สิ่งนี้เป็นโลกธรรม  อย่างแท้จริง  ไม่มีใครจะหลีหนีพ้นจากคำกล่าวเหล่านี้  นักปราชญ์อีสานมักจะสอนให้รู้และสามารถทำใจได้หรือปล่อยว่างได้  คนจะมีความสุขสงบได้
    ผญาคำพังเพย คือคำผญาที่พูดเป็นประโยคสั้นๆ  เพื่อเป็นคติเล็กๆ น้อยๆ  เป็นคำพูดคมคายชวยให้คิด  เป็นคำปัญหาหรือตลก  เป็นคำไพเราะเพราะพริ้ง น่าฟัง  หรือชวยให้เพลิดเพลิน  มักเป็นคำกล่าวสั้นๆ  เพียงประโยคเดียวหรือสองประโยค  และส่วนมากไม่เกินสี่วรรคหรือสี่ประโยค เช่น  ขายของให้พี่น้อง   ขายฆ้องให้เจ้าหัว

bandonradio

::ใช้เชิงอุปลักณ์[Metaphor]ในคำผญ๋าอีสาน::บ่าวริมโขงbandonradio

๒.  ใช้เป็นเชิงอุปลักษณ์ [Metaphor]  คือใช้เป็นการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบกันว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันทุกอย่าง  เป็นการเปรียบเทียบโดยนัย  โดยใช้คำว่า อดสาห์  คือ  ในการเปรียบเทียบหรืออาจจะไม่มีคำเหล่านี้เลยก็ได้  ดังคำผญาว่า 
    “อดสาห์  เลี้ยงช้างเฒ่าขายงาได้กินค่า      เลี้ยงช้างน้อยตายจ้อยค่าบ่มี (อดทนเลี้ยงช้างแก่ๆไว้ขายงาได้ราคาดี  หากว่าเลี้ยงช้างน้อยถ้าตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร)  เปรียเทียบให้เห็นว่าถ้ารักกับคนที่มีอายุมากกว่าจะดีกว่ารักกับคนที่มีอายุน้อย  จุดประสงค์ต้องการให้เลือกสรรเอาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าคนหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์  ไม่มีความอดทนพอที่จะต่อสู้กับอุปสรรค์ของชีวิตในอนคตได้เท่ากับคนแก่ หรือตรงกับภาษิตว่า  วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน  เรื่องบุพเพสันนิวาสนี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ถ้าคนเราเคยสร้างกุศลมาร่วมกันย่อมได้พบกันอีก  แต่ถ้าความรักไม่สมหวังก็มักจะพูดว่า    “ เหลือแฮ็งสร้างกฐินบ่ได้แห่    บาดผู้เพิ่นบ่สร้าง  สังมาให้แห่มา”  (เสียแรงสร้างกองกฐินใหญ่โตแต่ไม่ได้แห่  ทีคนที่ไม่ได้สร้างทำไมได้มาแห่ ) คำผญาบทนี้สะท้อนถึงอารมณ์ของผู้ที่อกหักได้ดี หมายถึงคนอื่นได้ไปครอบครอง กวีมักจะนำเอาสิ่งสองอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า  สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  เป็นมนุษย์ควรที่จะรักษาคำสัตย์ต่อกัน  ดังคำผญาว่า
    “ สัจจาแม่หญิงนี้    คือกวยกะต่าห่าง
    ถิ้มใส่น้ำ          ไหลเข้าสู่ตา
    “สัจจาผู้ชายนี้    คือหินนักหมื่น
    เซือกผูกทื้น    พันเส้นบ่ติ่ง
    (วาจาของสตรีเปรียบเหมือนตะกร้าที่ตาห่าง  ทิ้งลงในน้ำย่อมไหลเข้าทุกแห่ง และวาจาของบุรุษเปรียบเหมือนหินที่หนัก ๑๒ กิโลกรัม เอาเชือกผูกพันเส้นมาดึงก็ไม่ขยับเขยื้อน ) เปรียบให้เห็นว่าคำพูดของสตรีเชื้อถือได้อยาก  ส่วนคำพูดของผู้ชายมีความนักแน่นควรเชื้อถือได้  นี้เป็นคำที่คู่สนทนาระหว่างสตรีกับบุรุษที่ต่างกันก็ยกเหตุผลมาอ้างว่าฝ่ายตนเองนั้นมีสัจจะ  แต่มนุษย์ชายหญิงในโลกนี้ย่อมมีทั้งที่ยึดหมั่นในคำสัตว์  แต่ก็มีมากที่ไม่มีคำพูดที่เป็นคำสัตย์ต่อกัน  คือมีดีและเสียเท่าๆกัน  ถ้ามีดีตลอดก็จะไม่มีใครผิดหวังเพราะความรัก  ในเมื่อโลกมนุษย์ยังตกอยู่ในโลกธรรมแปด
    ๓.  ผญาเชิงอุปมา [Simile] คือคำผญาที่ใช้ในเชิงเปรียบเทียบที่ทำให้เข้าใจง่ายแบบตรงไปตรงมา  การเปรียบเทียบด้วยวิธีนี้เป็นการนำของสองอย่างมาเปรียบเทียบกันว่าเหมือนกันคือมีลักษญะคล้ายกัน  มักจะมีคำว่า ปาน เป็นดั่ง  เสมอ เปรียบ เปรียบดั่ง  ปุนปานดังคำผญานี้คือ
    ปาน  :     เจ็บปานไฟไหม้     เจ็บใจปานฟ้าฝ่า
        เจ็บแสบฮ้อน         ปานปิ้งปิ่นปลา
    (เจ็บอกดั่งไฟไหม้  เจ็บใจดั่งฟ้าฝ่า  เจ็บปวดร้าวดั่งปิ้งปลาในไฟ)
    ปุนปาน :    น้องอยากได้หน่วยแก้วลูกประเสริฐมหาเพชร
        พออยากแทงคอตาย  หน่วยพระจันทร์เป็นต้น
        ปุนปานแป้งเสนหาฮักห่อ  อุ่นอกมาอุ่นฮ้อนปานน้ำอาบเย็น
    (น้องอยากได้ลูกแก้วอันมีค่าเทียมมหาเพชรมาไว้ในครอบครอง  ถ้าไม่ได้น้องจะแทงคอตายเพราะพี่เป็นต้นเหตุ  เปรียบความเสน่หาความรักมีมากมาย  ร้อนอกร้อนใจก็เปรียบได้อาบน้ำเย็นสบาย )
    เป็นดั่ง :  อ้ายนี้    เป็นดั่งลิงโทนเฒ่า  กลางไพรเต้นไต่
        แสนสิไห้ยั่งมื้อ  บ่มีซู้อยู่ดอม
    (พี่นี้  เป็นดั่งลิงโทนแก่ๆ  ในป่าเต้นไต่ไปมาไม่มีคู่เคียงกาย)
    เสมอดั่ง : น้องนี้  ปลอดอ้อยซ้อย  เสมอดั่งตองตัด
        ผัดแต่เป็นสาวมา  กะบ่มีชายซ้อน
    ( น้องนี้ยังโสดบริสุทธิ์เหมือนดั่งใบตองตัด  ตั้งแต่เป็นสาวมายังไม่มีคู่ครอง)
    เปรียบ, เปรียบดั่ง :  เชื้อชาติแฮ้ง    บ่มีเปรียบหงส์คำ
              แนวกาดำ       เปรียบหงส์คำบ่มีได้
    (เชื้อชาติแร้ง กา คงเปรียบเทียบกับหงษ์คำไม่ได้)
        พี่นี้  เปรียบดั่งไซ   ใส่หลังหล้าบ่หมาน
                ถืกกะใส่ๆไว้   บ่ถืกกะใส่ๆไว้
               แล้วแต่ใจปลา  น้องบู่กูณาผาย  ดั่งใด๋เดน้อง
    ( พี่นี้  เปรียบเทียบดั่งไช่ใส่ไว้หลังสุดท้ายไม่ค่อยได้ปลา  ถึงไม่ถูกปลาก็ใส่ไว้ แล้วแต่ใจของปลา  น้องไม่กรุณาก็คงไม่ได้)
    ทั้งห้าบทที่นำมานี้มีจุดที่น่าสังเกตว่าเป็นคำพูดที่ตัดพ้อต่อว่าบุคคลอื่นที่ตนหลงรักแต่ไม่สมหวังบ้าง  หรือเป็นคำอุปมาให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ  ว่าตัวผู้พูดมีความในใจว่าอย่างไร  นี้ก็เป็นภูมิปัญญาของหนุ่มสาวภาคอีสานในอดีตใช้พูดจากัน  เพื่อแสดงถึงการเกี้ยวพาราสีกันและยังแฝงไปด้วยคติพจน์ที่ให้ข้อคิดแก่ผู้อื่นด้วย  นี้เป็นความงดงามทางภาษาอีกอย่างหนึ่งเพื่อสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจได้โดยไม่มีความคิดริษยา หรือความโกธรต่อกัน
    ๔.  การใช้สัญลักษณ์ [ Symbol]   คือการสรรหาสิ่งต่างๆที่มีความหลายถึงสิ่งอื่นที่มีคุณสมบัติร่วมกัน  เกี่ยวข้องกัน  เช่น  พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธศาสนา ในคำผญาอีสานใช้สัญลักษณ์คือ  คำที่ใช้แทนสภาพสิ่งต่างๆ ทั้งรูปธรรม  และนามธรรม  อันมีความหมายนอกเหนือไปจากความหมายที่กำหนดไว้ในพจนานุกรม  ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปของไทยและของสากล เช่น(วิภา  กงกะนันทน์  วรรณคดีศึกษา  นครปฐม  มหาวิทยาลัยศิลปากร 2523, หน้า 158
    แสงสว่าง    : เป็นสัญลักษณ์ของ ปัญญา
    ความมืด    :  เป็นสัญลักษณ์ของ กิเลส ,ตัณหา ,อวิชชา
    แก้ว    :  เป็นสัญลักษณ์ของ ความดีงาม,สิ่งมีคุณค่ามาก
    กา    :  เป็นสัญลักษณ์ของ  คนชั้นต่ำ, คนจน
    หงส์    : เป็นสัญลักษณ์ของ   คนชั้นสูง, คนมีฐานะ
    แมลง    : เป็นสัญลักษณ์ของ  บุรุษ
    ดอกไม้    : เป็นสัญลักษณ์ของ  สตรี
    การใช้สัญลักษณ์ที่ปรากฏในคำผญา  เป็นการแนะให้คิด  ไม่กล่าวตรงๆผู้ฟังต้องตีความว่าสัญลักษณ์ที่ใช้แทนความคิดในเรื่องใด  ส่วนใหญ่สิ่งตอบแทนเหล่านี้มักเป็นเรื่องที่รู้จักกันดีในสังคม  สัญลักษณ์อื่นๆอีกที่ปรากฏในผญาอีสาน เช่น (จารุวรรณ  ธรรมวัตร ลักษณะวรรณกรรมอีสาน กาฬสินธุ์  โรงพิมพ์จิตตภัณฑ์การพิมพ์ 2526 ,หน้า 239
    “ผักอีตู่เตี้ยต้นต่ำใบดก    กกบ่ทันฝังแน่นสังมาจีจูมดอก
    ฮากบ่ทันหยั่งพื้น    สังมาปี้นป่งใบ”   ผักอีตู่  เป็นสัญลักษณ์ของเด็กหญิงกำลังพ้นวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งในผญาบทนี้กล่าวว่า  เด็กสาวปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกับวัยของตน  สัญลักษณ์เหล่านี้เป็นคำใช้เปรียบเทียบจากสิ่งแวดที่อยู่ใกล้ตัวที่ชาวบ้านรู้จักดี  กวีมักจะนำมากล่าวสอนเตือนให้สตรีรู้ว่าสิ่งใดเหมาะแก่ตนเองและจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเป็นคนมีมารยาทงาม 
    “ผักหมเหี้ยนกลางทาง    เจ้าอย่าฟ้าวเหยียบย่ำ
    บาดเทื่อถอดยอดขาวทาวยอดดั้ว  ยังสิได้ก่ายกิน”  ผักหมเหี้ยน  เป็นสัญลักษณ์ของคนที่อยู่ในฐานะต่ำต้อย  ได้รับความลำบากแต่ก็มีโอกาสที่จะสร้างฐานะของตนได้  ตรงกับสำนวนภาคกลางว่า  ไม้ล้มข้ามได้  แต่คนล้มอย่าข้าม  ในคำผญาอีสานที่ปรากฏนั้นยังได้นำเอาสัตว์ต่างๆมาเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบบุคคลในสังคมได้อย่างเหมาสม  เช่น  ช้าง  ใช้แทนคนที่มีอำนาจหรือมียศฐานบันดาศักดิ์สูง  หรือหงส์คำ  ใช้แทนสตรีผู้มีความงดงามและมีฐานะดี  แต่สำหรับ  กาดำ  ใช้แทนคนชั้นต่ำ หรือเป็ดใช้แทนคนมีวาสนาน้อย หรือพืชบางชนิดก็ถูกนำมาเปรียบเทียบเช่น ดอกว่าน ดอกกระเจียวดังบทผญาว่า
    “ อย่าได้เก็บดอกว่าน    บ้านเพิ่นมาบาน
    ให้เจ้างอยซานเก็บ    ดอกกระเจียวกลางบ้าน”  ดอกว่าใช้แทนสตรีที่อยู่ต่างบ้าน  ส่วนดอกกระเจียวให้แทนหญิงสาวบ้านเดียวกัน พูดเป็นนัยให้หนุ่มรู้จักมองหาสาวๆในบ้านตนเองดีกว่าจะไปผูกสมัครรักใคร่กับหญิงสาวบ้านอื่น 
๒.๑.๓  ประเภทของผญาอีสาน 
    ภาษิตอีสานแต่ละภาษิตมีความหมายลึกบ้าง  ตื้นบ้าง หยาบก็มี ละเอียด ก็มี ถ้าท่านได้พบภาษิตที่หยาบๆโปรดได้เข้าใจว่า  คนโบราณชอบสอนแบบตาเห็น  ภาษิตประจำชาติใด ก็เป็นคำไพเราะเหมาะสมแก่คนชาตินั้น  คนในชาตินั้นนิยมชมชอบว่าเป้นของดี  ส่วนคนในชาติอื่นหรือถิ่นอื่นอาจเห็นว่าเป็นคำไม่ไพเราะเหมาะสมก็ได้  ความจริง”ภาษิต”คือรูปภาพที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมทางภาษาของชาตินั้นๆหรือของท้องถิ่นต่างๆนั้นเอง
    ชาวอีสานมักจะมีสำนวนในการพูดที่เป็นเอกลักษณ์อยู่แบบหนึ่ง  เรียกกันทั่วไปว่า “ผะหยา” มีลักษณะที่เด่นอยู่สามประการ  คือ  ประการแรกเป็นคำพูดหลักแหลมได้สาระแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของผู้พูด  ประการที่สองเป็นคำพูดที่ฟังแล้วได้รับความไพเราะ  ด้วยเสียงสัมผัสโดยอาจจะเป็นสัมผัสสระ  สัมผัสพยัญชนะหรือเล่นวรรณยุกต์มีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์  และลักษณะเด่นของผะหยาในเชิงวรรณศิลป์อีกอย่างคือ  การได้คำอุปมาอุปไมย  มีการใช้ความเปรียบเทียบทำให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการเห็นภาพพจน์  และทำให้เข้าใจความหมายของผะหยาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  ด้วยลักษณะของความเปรียบเทียบที่ยกมาประกอบ  นอกจากนี้ผะหยา  ยังสามารถสะท้อนภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสานได้ด้วย  สำหรับโอกาสในการพูดผะหยา  นั้นมีหลายโอกาส  ได้แก่การพูดคุยทั่วไป  อาจใช้ผะหยาภาษิต  ผะหยาเกี้ยวจะใช้ในโอกาสที่หนุ่มสาวพบกันในเวลาปั่นฝ้าย  หรือในงานประจำหมู่บ้านและใช้ผะหยาอวยพรในงานมงคลสมรสเป็นต้น
การจัดแบ่งประเภทเชิงเนื้อหาของคำผญาอีสานนั้นมี ท่านผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นลักษณะต่างๆ  หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน  ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก
คำผญาที่เป็นคำภาษิตคือเป็นข้อความสั้นๆ  แต่เน้นความลึกซึ้ง  และเป็นคำสอนไปในตัว  หรือให้คติธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง  ที่แสดงถึงความเป็นไปของโลกหรือชี้ให้เห็นสัจจะแห่งชีวิต  ผญาอีสานนั้นเป็นทั้งภูมิปรัชญาท้องถิ่นและปัญญาธรรม  ซึ่งเป็นคำสอนของนักปราชญ์  อันแฝงไปด้วยคติ  แง่คิด  เป็นคำกล่าวที่เป็นหลักจริยธรรม  อันแสดงถึงความรอบรู้ความสามารถของผู้พูด  ผญาที่เป็นภาษิต  ใช้พูดสั่งสอนหรือเตือนใจใช้ในโอกาสเหมือนภาษิตภาคกลาง  เช่น  ต้องการสั่งสอนบุตรธิดา  ท่านก็เล่านิทานเป็นเชิงอุทาหรณ์แทรกคติธรรม  และภาษิตที่เป็นผญาเตือนใจทำให้ผู้ฟังเกิดความซาบซึ้งประทับใจและจดจำไว้เป็นแบบอย่างของการครองชีวิตต่อไป
ผญานี้มักไม่กล่าวสอนอย่างตรงๆ  ทั้งนี้เพราะคนอีสานนิยมสอนบุตรธิดาของตนโดยทางอ้อมไม่ได้สอนโดยทางตรงเมื่อท่านจะสอนในเรื่องใดท่านมักจะผูกเป็นคำอุปมาอุปไมย  โดยกล่าวถึงข้อเท็จจริงคือความเป็นอยู่และกิริยาอาการหรือความประพฤติของคนหรือสัตว์  ไม่ว่าในทางดีหรือทางชั่วอันเป็นไปในทางรูปธรรม  เพื่อให้เกิดแง่คิดในทางนามธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบกับรูปธรรม  คำผญาเมื่อนำมาจัดแบ่งตามลักษณะของเนื้อหาแล้ว ผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้แบ่งเนื้อหาของผญาออกเป็นประเภทต่างๆ  หลายประเภทแต่ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน  คือ
จารุบุตร  เรืองสุวรรณ  ได้กล่าวถึงคำผญาว่ามี  ๒  ประเภท  คือผญาย่อย  เป็นคำพูดเปรียบเปรย  เย้าแหย่  ขำขัน  สนุกสนาน  แต่ก็แฝงคำคมเป็นคติและอีกประเภทหนึ่งคือ  ผญาภาษิต  เป้นถ้อยคำแบบฉันทลักษณ์  ที่มีความไพเราะเป็นคติเตือนใจ  ลึกซึ่ง  แฝงคติธรรม๑๑ 
สาร  สาระทัศนานันท์  ได้กล่าวถึงลักษณ์ทางเนื้อหาของคำผญาว่าเป็นคำกลอนสดที่คิดได้หรือจำมาก็มี และส่วนใหญ่ไม่ได้พรรณาอย่างตรงไปตรงมา  คือมักเป็นคำพูดที่เป็นเชิงเปรียบเทียบให้ตีความเอาเอง  และได้แบ่งเนื้อหาผญาออกเป็น  ๔  ประการ คือ (๑)  ภาษิตหรือคติเตือนใจ (๒)  คำพังเพยหรือคำคม (๓)  คำอวยพร (๔)  คำที่หนุ่มสาวใช้พูดจากัน๑๒
บุปผา  ทวีสุข  กล่าวว่า  แต่เดิมนั้นคำผญามักจะเป็นคำภาษิต  เป็นคำนักปราชญ์  ต่อมามีผู้คิดผูกคำผญาเป็นทำนองเกี้ยวพาราสีเพื่อหลีกเลี่ยงการพูกฝากรักโดยตรง  ให้ผู้ฟังสังเกตเอาจากนัยแห่งคำพูดเอง  แล้วพูดโต้ตอบกันด้วยคำในลักษณะเดียวกัน  ดังนั้นคำผญาจึงแบ่งเป็นลักษณะได้  ๒  ประการ  คือผญาที่เป็นคำคม  สุภาษิต คำสอน  และผญาที่เป็นทำนองเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว  นอกจากนี้  บุปผา  ทวีสุข  ยังได้แบ่งผญาออกเป็น  ๓  ประเภท  คือ  ผญาภาษิต  ผญาย่อย  และโตงโตยหรือยาบสร้อย ๑๓
จารุวรรณ  ธรรมวัตร  ได้กล่าวถึงลักษณะของผญาไว้ว่า  ผญาเป็นคำพูดที่มีองค์คุณอยู่  ๕  ประการ  คือ  คำพูดที่มีประโยชน์หนึ่ง  เป็นคำพูดที่เหมาะสมแก่กาลหนึ่ง  พูดคำสัจจะหนึ่ง  พูดคำอ่อนหวานหนึ่ง  พูดด้วยเมตตาจิตหนึ่ง  และยังแบ่งประเภทของผญาได้  ๕  ประการ คือ (๑)  ผญาเกี้ยวพาราสี (๒)  ผญาภาษิต (๓)  ผญาอวยพร (๔)  ผญาเกี้ยวแบบตลก (๕)  ผญาเกี้ยวแบบสาส์น์รัก๑๔
ประเทือง  คล้ายสุบรรณ์  ได้แบ่งประเภทของผญาตามลักษณะของเนื้อหาและโอกาสที่ใช้ไว้อย่างละเอียดและสอดคล้างกันที่พรชัย  ศรีสารคาม  ได้แบ่งได้ดังนี้(๑)  ผญาภาษิต (๒)  โตงโตยหรือยาบสร้าย (๓)  ผญาย่อยหรือคำคม (๔)  ผญาคือหรือผญาเกี้ยว (๕)  ผญาอวยพร๑๕ ตามที่ท่านผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้จัดแบ่งประเภทผญาตามลักษณะของเนื้อหาไว้นั้นมีความใกล้เคียงกันมาก  โดยสรุปแล้วมีเนื้อหาของคำผญาได้เป็น  ๔  ประเภท คือ

bandonradio

::สำนวนเปรียบเทียบโวหารและสัญญลักษณ์ที่ปรากฏในคำผญ๋าอีสาน :บ่าวริมโขง :bandonradio

๒.๑.๓  สำนวนเปรียบเทียบ  โวหาร  และสัญญลักษณ์ที่ปรากฏในผญาอีสาน
    การใช้เป็นความเปรียบเทียบสภาพสิ่งต่างๆ  ทั้งรูปธรรมและนามธรรมอย่างน้อยที่สุดสองอย่าง  เพื่อช่วยให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ  สำนวนเปรียบเทียบในผญาอีสานมีลักษณะพอสรุปได้ดังนี้
    ๑.  ใช้เป็นบุคลาธิษฐาน [ personification] เป็นการใช้ภาษาในลักษณะที่ทำให้ดูเหมือนว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่ไม่คนเป็นคน  โดยให้สรรพสิ่งเหล่านั้นแสดงอากัปกิริยาต่างๆ  ราวกับเป็นคน  คือพูดได้  ร้องให้ได้  มีความรู้สึก  เป็นการพูดเพื่อให้เกิดคติพจน์และสเทือนอารมณ์  หรือทำให้เกิดสิ่งที่มีคุณค่า ดังคำผญานี้ว่า
    “ เจ้าผู้นาไฮ่ล่งประสงค์ดำแต่กล้าแก่  กล้าอ่อนมีบ่แพ้ดำได้กะบ่งาม” ( เจ้าผู้นาผืนลุ่มประสงค์ดำแต่กล้าแก่  กล้าอ่อนมีมากมาย  ปลักดำได้ก็ไม่งาม) 
    นาไฮ่ล่ง  เป็นนาที่ลุ่มที่สมบูรณ์มีน้ำมาก  ใช้เปรียบเทียบกับสตรีที่มีความงดงามและมีฐานะดี  เพราะนาอย่างนี้เป็นที่สมบูรณ์มากกว่านาดอนที่ไม่มีน้ำท่วมถึงย่อมขาดแคลน  เปรียบเทียบให้เห็นว่า  ชีวิตมนุษย์ย่อมแสวงสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง  เหมือนบุรุษย่อมแสวงหาสาวที่งดงามและมีฐานะมั่นคงจึงจะทำให้ชีวิตคู่ราบรื่น
    คำผญาอีสานที่มักจะเปรียบเทียบให้เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆตัวมากกว่าเช่น “ บัว, แก้ว,นิล ,ช้าง และหงส์” กวีมักจะนำมาใช้แทนสัญญลักษณ์ถึงสิ่งที่มีคุณค่าแก่ผู้สนใจ  ดังคำผญานี้ว่า 
    “ เจ้าผู้แนวนามแก้วมหานิลอันประเสริฐ  สังบ่ไปเกิดก้ำทางบ้านบ่อนนาง  สังบ่เดินมาผ้ายคาเมบ้านน้องอยู่  ครั้นพี่มาอยู่พี้บ่มีได้อยู่นาน”  ( เจ้าผู้เชื้อชาติแก้วมหานิลอันประเสริฐ  ทำไมไม่ไปเกิดที่ทางบ้านน้อง  ทำไมไม่เดินผ่านไปทางบ้านน้อง  ถ้าพี่ไปอยู่ทางนั้นคงได้แต่งงานนานแล้ว) 
    แก้วและนิล  ถือเป็นอัญมณีที่มีค่าสูงส่ง  ใครก็ต้องการเก็บไว้ครอบครอง  การที่เรียกคนที่ตนรักเช่นนี้เป็นการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญควรแก่การจะแต่งงานด้วย  นักปราชญ์อีสานก็มักจะนำเอาสิ่งที่ตรงกันข้ามนำเปรียบเทียบสั่งสอนให้คนได้รู้จักไตรตรองพิจารณาให้รอบครอบ  การครองคู่ชีวิตจะต้องอาศัยความอดทนต่อความลำบากต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ดังคำผญาสอนว่า
    “โอ้ย  ครั้นเจ้ามักข้อย  แกงหอยให้มันเปื่อย   แกงปลาให้เปื่อยก้าง  แกงช้างให้เปื่อยงา”  (โอ  ถ้าคุณรักฉันจงแกงหอย  แกงกระดูกปลา  แกงงาช้างให้ยุ้ย)  จะเห็นว่าทั้ง หอย ก้างและงาช้าง  นั้นเป็นของแข็งที่ต้มแล้วไม่เปื่อยยุ่ย   เป็นไปได้ยากมากที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้ละลายได้จะต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทนมาก  ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่าผญาอีสานมักจะแนะนำให้รู้จักกระรักษาสิ่งที่ดีแล้วให้อยู่ตลอด  หรือให้มีความอดกลั้นต่ออุปสรรคต่างๆจึงจะพบกำความสำเร็จได้ 
    ๒.  ใช้เป็นเชิงอุปลักษณ์ [Metaphor]  คือใช้เป็นการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบกันว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันทุกอย่าง  เป็นการเปรียบเทียบโดยนัย  โดยใช้คำว่า อดสาห์  คือ  ในการเปรียบเทียบหรืออาจจะไม่มีคำเหล่านี้เลยก็ได้  ดังคำผญาว่า 
    “อดสาห์  เลี้ยงช้างเฒ่าขายงาได้กินค่า      เลี้ยงช้างน้อยตายจ้อยค่าบ่มี (อดทนเลี้ยงช้างแก่ๆไว้ขายงาได้ราคาดี  หากว่าเลี้ยงช้างน้อยถ้าตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร)  เปรียเทียบให้เห็นว่าถ้ารักกับคนที่มีอายุมากกว่าจะดีกว่ารักกับคนที่มีอายุน้อย  จุดประสงค์ต้องการให้เลือกสรรเอาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าคนหนุ่มที่ยังไม่มีประสบการณ์  ไม่มีความอดทนพอที่จะต่อสู้กับอุปสรรค์ของชีวิตในอนคตได้เท่ากับคนแก่ หรือตรงกับภาษิตว่า  วัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน  เรื่องบุพเพสันนิวาสนี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ถ้าคนเราเคยสร้างกุศลมาร่วมกันย่อมได้พบกันอีก  แต่ถ้าความรักไม่สมหวังก็มักจะพูดว่า    “ เหลือแฮ็งสร้างกฐินบ่ได้แห่    บาดผู้เพิ่นบ่สร้าง  สังมาให้แห่มา”  (เสียแรงสร้างกองกฐินใหญ่โตแต่ไม่ได้แห่  ทีคนที่ไม่ได้สร้างทำไมได้มาแห่ ) คำผญาบทนี้สะท้อนถึงอารมณ์ของผู้ที่อกหักได้ดี หมายถึงคนอื่นได้ไปครอบครอง กวีมักจะนำเอาสิ่งสองอย่างมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า  สิ่งต่างๆในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน  เป็นมนุษย์ควรที่จะรักษาคำสัตย์ต่อกัน  ดังคำผญาว่า
    “ สัจจาแม่หญิงนี้    คือกวยกะต่าห่าง
    ถิ้มใส่น้ำ          ไหลเข้าสู่ตา
    “สัจจาผู้ชายนี้    คือหินนักหมื่น
    เซือกผูกทื้น    พันเส้นบ่ติ่ง
    (วาจาของสตรีเปรียบเหมือนตะกร้าที่ตาห่าง  ทิ้งลงในน้ำย่อมไหลเข้าทุกแห่ง และวาจาของบุรุษเปรียบเหมือนหินที่หนัก ๑๒ กิโลกรัม เอาเชือกผูกพันเส้นมาดึงก็ไม่ขยับเขยื้อน ) เปรียบให้เห็นว่าคำพูดของสตรีเชื้อถือได้อยาก  ส่วนคำพูดของผู้ชายมีความนักแน่นควรเชื้อถือได้  นี้เป็นคำที่คู่สนทนาระหว่างสตรีกับบุรุษที่ต่างกันก็ยกเหตุผลมาอ้างว่าฝ่ายตนเองนั้นมีสัจจะ  แต่มนุษย์ชายหญิงในโลกนี้ย่อมมีทั้งที่ยึดหมั่นในคำสัตว์  แต่ก็มีมากที่ไม่มีคำพูดที่เป็นคำสัตย์ต่อกัน  คือมีดีและเสียเท่าๆกัน  ถ้ามีดีตลอดก็จะไม่มีใครผิดหวังเพราะความรัก  ในเมื่อโลกมนุษย์ยังตกอยู่ในโลกธรรมแปด

bandonradio

ส่งข่าวถึงกันและกัน

Recent Posts

www.bandonradio.blogspot.com = คลื่นแห่งสาระบันเทิง ..

 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons